วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
สิงโต
ลักษณะทั่วไป
สิงโตเป็นเสือขนาดใหญ่ ขนสั้นเกรียนสีน้ำตาลอ่อน บางตัวอาจมีสีออกเทาเงิน หรือบางตัวก็มีสีอมแดง หรือถึงน้ำตาลแดง ใบหน้ากว้าง ปากค่อนข้างยาว จมูกมักมีสีดำสนิท ม่านตาสีเหลืองหรืออำพัน รูม่านตากลม หูสั้นกลม หลังหูดำ ขาหน้าใหญ่และแข็งแรงกว่าขาหลัง อุ้งตีนกว้าง หางค่อนข้างยาว ปลายหางเป็นพู่สีดำ และมักมีสิ่งคล้ายเดือยแข็งอยู่อันหนึ่งซ่อนอยู่ภายในพู่หางด้วย
สิงโตเป็นสัตว์ตระกูลแมวที่มีความแตกต่างระหว่างเพศชัดเจนที่สุด ตัวผู้มีแผงคอซึ่งเป็นขนยาวหนาขึ้นบริเวณรอบคอและหัวไหล่อย่างหนาแน่นจนกลบใบหูมิด ขนแผงคอสีน้ำตาลอ่อนจนถึงสีดำ บางชนิดขนแผงคอลามไปจนถึงท้อง แผงคอของสิงโตตัวผู้แต่ละพันธุ์ต่างกันมากในแต่ละพื้นที่ พวกที่อยู่ตอนบนสุดและล่างสุดของเขตกระจายพันธุ์มีแผงคอใหญ่และดกมาก อาจลามไปถึงหลังและใต้ท้อง ขนช่วยให้สิงโตมีขนาดใหญ่โตขึ้นแต่ไม่เพิ่มน้ำหนักให้มากนัก คาดว่ามีไว้เพื่อจำแนกเพศและแสดงสถานะของวัย และเพื่ออวดตัวเมียถึงความแข็งแกร่งห้าวหาญสมชาย และอาจมีประโยชน์ในการป้องกันหัวและคอในระหว่างการต่อสู้ สิงโตตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้มาก (20-50%) และไม่มีแผงคอ แผงคอของสิงโตมีลักษณะต่างกันไปในแต่ละตัวด้วย
สิงโตในอดีต
สิงโตปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกที่ยุโรปเมื่อราว 600,000 ปีที่แล้ว สิงโตในยุคนั้นมีขนาดใหญ่กว่าสิงโตปัจจุบัน 25 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าเป็นสัตว์ตระกูลแมวที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาบนโลก มีชื่อว่า สิงโตถ้ำยุโรป (Panthera leo spelaea) สิงโตพันธุ์นี้ได้แพร่กระจายไปไกลอย่างน้อยก็ถึงกรุงปักกิ่ง เพราะพบซากดึกดำบรรพ์ของสิงโตอายุ 400,000 ปีบริเวณเดียวกับที่พบซากมนุษย์ปักกิ่งในโจวโข่วเตี้ยนซึ่งก็พบซากของเสือโคร่งเช่นกัน และยังพบภาพวาดของสิงโตตามถ้ำต่าง ๆ และซากดึกดำบรรพ์ที่มีอายุ 200,000 ปี แสดงว่าสิงโตพันธุ์นี้เคยอาศัยร่วมสมัยกับมนุษย์ยุคใหม่มาก่อน นอกจากนี้ยังเคยมีการพบกระดูกสิงโตคู่กับเครื่องมือของมนุษย์นีแอนเดอทรัลมาแล้วด้วย
ในทวีปอเมริกาก็เคยมีสิงโตเช่นกัน สิงโตอเมริกาเหนือ (Panthera atrox) มีรูปร่างคล้ายสิงโตถ้ำยุโรป พบซากดึกดำบรรพ์ของสิงโตพันธุ์นี้ตามไซบีเรียตะวันออก แอแลสกา และที่อื่นในทวีปอเมริกาเหนือ สิงโตอเมริกาอาศัยร่วมกับมนุษย์ หมาป่าไดร์วูล์ฟ (Canis dirus) ม้า และไบซันมาจนถึงราวปี 11,500 ปีก่อน เชื่อกันว่าสิงโตอเมริกาเหนือน่าจะอาศัยเป็นฝูงเช่นเดียวกับสิงโตในแอฟริกาปัจจุบัน
ในยุคไพลโตซีน เขตกระจายพันธุ์ของสิงโตแพร่ไปไกลเหนือสุดถึงอังกฤษ และทางตะวันออกสุดถึงปาเลสไตน์ อาหรับ และอินเดีย
ในศรีลังกา ปัจจุบันไม่มีทั้งสิงโตและเสือโคร่ง และไม่เคยมีการพบซากดึกดำบรรพ์ของสิงโตด้วย เคยมีการพบซากฟันของสิงโตเพียงซี่เดียวเท่านั้น แต่สิงโตได้อยู่ในวัฒนธรรมของศรีลังกาอย่างแน่นแฟ้น ไม่ว่าจะในตำนาน และศิลปะ แม้แต่ชื่อเชื้อชาติของชาวสิงหลซึ่งของชนส่วนใหญ่ของประเทศก็มีความหมายว่า สายเลือดสิงโต ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อว่าสิงโตน่าจะเคยอาศัยอยู่ในศรีลังกาช่วงใดช่วงหนึ่ง
ที่อยู่อาศัยและเขตกระจายพันธุ์
เขตกระจายพันธุ์ของสิงโตในแอฟริกา
สิงโตอาศัยได้ในพื้นที่หลายประเภท พื้นที่ที่ชอบที่สุดคือทุ่งหญ้า ซาวันนา ป่าเปิดและป่าละเมาะ แต่ก็ยังพบได้ในพื้นที่ประเภทอื่นตั้งแต่กึ่งทะเลทรายและป่าทึบ ไม่พบในป่าทึบและกลางทะเลทรายซาฮารา และพบได้ในระดับความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึง 5,000 เมตรบนภูเขาในประเทศเคนยา
สิงโตเคยพบได้ทั่วทั้งทวีปแอฟริกา ในยุโรปทางตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง จนถึงทางตอนเหนือของอินเดีย ในปัจจุบันพื้นที่กระจายพันธุ์หดเล็กลงไปมาก เหลือเพียงในพื้นที่กึ่งซาฮาราในทวีปแอฟริกา ฐานที่มั่นสำคัญอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์หลายแห่งในแอฟริกาตะวันออก และส่วนในเอเชียเหลือเพียงแห่งเดียวคือป่าเกียร์ในประเทศอินเดีย คาดว่ามีอยู่ประมาณ 290-350 ตัว
เขตกระจายพันธุ์ของสิงโตในแอฟริกา
อุปนิสัย
สิงโตอาศัยบนพื้นดินเป็นหลัก ปีนต้นไม้ได้ โดยเฉพาะสิงโตวัยเด็กมักชอบปีนต้นไม้เล่น เมื่อเติบโตขึ้นมาจึงปีนน้อยลง แต่สิงโตในบางพื้นที่ได้แก่สิงโตในอุทยานแห่งชาติเลกแมนยาราของแทนซาเนียกับอุทยานแห่งชาติควีนเอลิซาเบทของยูกันดา มักใช้เวลาตอนกลางวันพักผ่อนอยู่บนต้นไม้ พฤติกรรมเช่นนี้สันนิษฐานว่าเพื่อหนีแมลงรบกวนที่อาศัยอยู่ในพุ่มไม้ บางทฤษฎีก็เชื่อว่าต้องการหลีกหนีจากควายและช้าง
สิงโตไม่ชอบน้ำเช่นเดียวกับเสือและแมวทั่วไป แต่สิงโตก็ว่ายน้ำได้เก่ง เคยมีผู้พบสิงโตว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโอคาแวนโกและแม่น้ำสายใหญ่อื่น ๆ หลายครั้ง
สิงโตจัดว่าเป็นจอมขี้เกียจ ขี้เกียจที่สุดในจำนวนเสือและแมวทุกชนิดในโลก ในพื้นที่อุดมสมบูรณ์เช่นในอุทยานแห่งชาติเซเรนเกตตี โงโรโงโรเครเตอร์ หรือไนโรบี เวลาแต่ละวันของสิงโตจะหมดไปกับการนอนถึง 20 ชั่วโมง เวลาในการเดินทางราว 3 ชั่วโมง และกินอีกราว 1 ชั่วโมง สิงโตเดินทางน้อยมากเพียงวันละไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น หากเป็นพื้นที่ทุรกันดารซึ่งมีสัตว์เหยื่อกระจัดกระจาย สิงโตอาจต้องเดินมากขึ้นเป็นคืนละ 12-13 กิโลเมตร
สิงโตเป็นสัตว์ในตระกูลแมวที่มีสังคมแน่นแฟ้นที่สุด ขนาดของฝูงวัดด้วยจำนวนของตัวเมียในฝูง ฝูงสิงโตแอฟริกามักประกอบด้วยตัวเมียตั้งแต่ 4-12 ตัว ซึ่งมักเป็นพี่น้องหรือญาติกันและลูกสิงโต สิงโตตัวเมียจะช่วยกันดูแลเลี้ยงดูสิงโตเด็ก และอาจช่วยกันให้นมโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นลูกของตนหรือไม่ ส่วนตัวผู้อาจมีอยู่ราวหนึ่งถึงหกตัว สิงโตตัวผู้ในฝูงอาจเป็นญาติกันก็ได้
สิงโตบางฝูงอาจประกอบด้วยสิงโตที่ไม่ใช่ญาติกัน แต่มีน้อยมาก เคยมีการพบฝูงแบบนี้เพียงสองครั้งเท่านั้น ทั้งสองกรณีเกิดจากฝูงย้ายถิ่นมาจากพื้นที่เดิม ฝูงแรกย้ายมาจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์เพื่อการล่าคาลาฮารีกลางในบอตสวานา เนื่องจากพื้นที่เดิมแห้งแล้งอดอยาก อีกฝูงหนึ่งย้ายมาจากอุทยานแห่งชาติครูเกอร์เนื่องจากมีการล่าสิงโตอย่างหนัก
ขนาดและเขตหากินของฝูงมักขึ้นอยู่กับประเภทของพื้นที่และความอุดมสมบูรณ์ของเหยื่อ พื้นที่ยิ่งอุดมสมบูรณ์ฝูงก็ยิ่งใหญ่ ส่วนในพื้นที่แร้นแค้นฝูงจะเล็กลงหรืออาจหากินโดยลำพังก็ได้ ฝูงที่ใหญ่ที่สุดพบในทุ่งหญ้าแอฟริกาตะวันออกซึ่งเป็นที่ที่อาหารการกินสมบูรณ์ เช่นในโงโรโกโรเครเตอร์ซึ่งมีเหยื่ออุดมสมบูรณ์ เคยมีผู้พบฝูงขนาด 20 ตัวมาแล้ว ส่วนในอุทยานแห่งชาติคาลาฮารีเกมสบอกของแอฟริกาใต้ มีขนาดฝูงเฉลี่ยเพียง 2.2 ตัว
สิงโตหากินได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนใหญ่มักหากินช่วงพลบค่ำและรุ่งสาง และยังพบว่าการล่าในคืนเดือนมืดประสบความสำเร็จมากกว่าคืนเดือนหงาย สิงโตที่ล่าเพียงลำพังจะย่องเข้าไปหาเหยื่ออย่างเชื่องช้าทีละนิดโดยอาศัยสิ่งแวดล้อมกำบัง เมื่อเข้าใกล้จนอยู่ในระยะไม่เกิน 30 เมตรแล้วจึงค่อยวิ่งออกไปตะครุบ ส่วนการออกล่าเป็นฝูงซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าจะทำโดยกระจายกำลังกันออกเป็นกลุ่มย่อยสามกลุ่ม คือปีกซ้าย ปีกขวา และกองกลาง กลุ่มละประมาณ 1-7 ตัว ฝ่ายปีกมักเป็นฝ่ายเริ่มจู่โจมก่อน คอย ไล่เหยื่อให้แตกตื่นหนีไปทางฝ่ายกลองกลางที่ซุ่มรออยู่ เมื่อเหยื่อวิ่งไปถึงจนได้ระยะและกำหนดตัวเหยื่อได้ พวกที่ซุ่มอยู่ก็จะกระโจนออกมาสังหาร ตัวที่ทำหน้าที่เป็นกองกลางมักเป็นสิงโตตัวใหญ่ บางครั้งก็มีการแลกเปลี่ยนตำแหน่งในการออกล่าบ้างเหมือนกัน ชนิดของเหยื่อมีผลต่อการแบ่งหน้าที่ของสิงโตแต่ละตัวในการล่าด้วย เช่นพบว่าสิงโตบางตัวมักรับตำแหน่งเป็นผู้นำในการล่าหมูป่า แต่ในการล่าควายกลับไปทำหน้าที่เป็นลูกทีม
การฆ่าของสิงโตมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับขนาดและชนิดของเหยื่อ สัตว์เล็กอย่างลูกแอนติโลป กาเซลล์ทอมบ์สัน หรือกระต่ายป่า สิงโตจะตบแล้วตะครุบด้วยสองตีน ตามด้วยเข้ากัดที่คอด้านหน้าหรือด้านหลัง ส่วนเหยื่อขนาดม้าหลายหรือวีลเดอบีสต์ สิงโตจะโถมเข้าใส่แล้วดึงหรือลากให้ล้มลง แล้วกัดที่คอหรือจมูก เหยื่อที่ถูกกัดคอจะตายเพราะเลือดไม่ไหลเวียน เหยื่อที่ถูกกัดจมูกจะตายเพราะหายใจไม่ออก
เมื่อเหยื่อตายลงจะถูกกินทันที ต่างจากเสือโคร่งและเสือดาวที่มักจะลากเหยื่อไปเป็นระยะทางไกลก่อนจะกิน เว้นแต่ในกรณีที่เป็นเหยื่อขนาดเล็กก็อาจมีการคาบไปกินในพุ่มไม้ใกล้ ๆ บ้าง อวัยวะที่จะถูกกินเป็นอันดับต้นได้แก่ เครื่องใน ต้นขา และสะโพก สิงโตบางพื้นที่มีการลากลำไส้เหยื่อออกมาฝังดินด้วย แต่พฤติกรรมเช่นนี้พบไม่บ่อยในเซเรนเกตตี
การล่าเหยื่อเกือบทั้งหมดเป็นหน้าที่ของตัวเมียเท่านั้น ตัวผู้มักไม่ค่อยออกแรงล่าเหยื่อ แต่เมื่อล่าเหยื่อได้แล้ว ตัวผู้ซึ่งไม่ได้ออกแรงล่าเหยื่อเลยมักเป็นตัวแรกที่ได้กินเหยื่อก่อน เมื่อตัวผู้กินเสร็จจึงเป็นคราวของตัวเมีย ส่วนลูกสิงโตจะได้กินเป็นลำดับสุดท้าย ดังนั้นในภาวะเหยื่อขาดแคลน ลูกสิงโตจึงมักอดตายก่อน
อาหารของสิงโตมักเป็นสัตว์ใหญ่ เช่นวิลเดอบีสต์ ควายป่า ม้าลาย ลูกแรด ลูกฮิปโป ลูกช้าง และลูกยีราฟ ในพื้นที่เดียวกัน สิงโตแต่ละฝูงอาจมีเหยื่อโปรดต่างชนิดกัน นั่นแสดงถึงพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างชัดเจน บางครั้งก็กินสัตว์เล็กอย่างสัตว์ฟันแทะ นก ในอินเดีย อาหารหลักคือกวางดาว (45%) ซึ่งหนักเพียง 50 กิโลกรัม ที่นิยมรองลงมาคือกวางป่า (15%)
บางครั้งสิงโตก็ขุดดินหาเหยื่อที่อยู่ในดินเหมือนกัน สิงโตขุดดินมากกว่าเสือชนิดใด ๆ โดยเฉพาะเพื่อล่าหมูป่าที่หนีเข้าไปหลบในโพรงของอาร์ตวาร์ก
ด้วยความที่เป็นถึงจ้าวป่า กำยำ พละกำลังมาก สิงโตจึงมักแย่งเหยื่อจากสัตว์นักล่าชนิดอื่นเช่นเสือดาวและเสือชีตาห์อยู่เสมอ
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นจ้าวป่า แต่บ่อยครั้งก็พบว่าสิงโตกินซากเหมือนกัน โดยเฉพาะตัวผู้ ในเซเรนเกตตี อาหารราวกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของสิงโตมาจากการแทะซาก ส่วนในพื้นที่แห้งแล้งมักไม่พบสิงโตกินซากมากนัก มีเพียงราว 6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
สิงโตอดน้ำได้ดี ในพื้นที่แห้งแล้ง สิงโตอาศัยน้ำจากตัวเหยื่อก็อยู่ได้ บางครั้งอาจรับน้ำจากต้นไม้ด้วย เช่นแตงซามา (tsama melon) ในทะเลทรายคาลาฮารี
สิงโตมีพื้นที่หากินกว้าง บางครั้งกว้างถึง 500 ตารางกิโลเมตร ภายในฝูงใหญ่มักมีแยกเป็นกลุ่มย่อยกระจัดกระจายออกไปกินภายในพื้นที่ของฝูงหลัก และแต่ละตัวก็ยังมีบางช่วงที่แยกตัวออกไปอยู่เพียงลำพังด้วย ฝูงสิงโตมักมีพื้นที่หากินคงที่ เคยพบฝูงสิงโตสามฝูงในเซเรนเกตีครอบครองอาณาเขตเดิมเป็นเวลานานกว่า 20 ปี
ในหมู่ตัวผู้ก็มีสังคมของตัวผู้เหมือนกัน ตัวผู้ที่ไม่มีฝูงครอบครองซึ่งอาจเป็นตัวที่ยังไม่ถึงวัยหรือตัวที่เป็นอดีตจ่าฝูงก็มีการรวมฝูงเพื่อหากินร่วมกัน ฝูงตัวผู้ที่มีสมาชิกมากกว่า 4 ตัวมักเป็นลูกพี่ลูกน้องกันหรืออาจเป็นพี่น้องกัน ส่วนฝูงที่มีเพียงสองตัวมักไม่ใช่ญาติกัน เคยพบฝูงสามตัวที่มีสองตัวเป็นญาติกันกับสิงโตที่ไม่ใช่ญาติอีกตัวหนึ่ง แต่ฝูงแบบหลังนี้พบน้อย นอกจากนี้ยังพบว่าความสำเร็จในการผสมพันธุ์มักแปรตามขนาดของฝูงด้วย
ปัจจุบันที่อยู่อาศัยของสิงโตกับเสือโคร่งแยกจากกัน จึงไม่มีโอกาสที่จ้าวป่าสองชนิดนี้จะมาพบกันหรือต่อสู่กัน แต่ในอดีตเคยมีการจับมาต่อสู้กัน ผลปรากฏว่าเสือโคร่งเป็นฝ่ายชนะเสมอ จากการสังเกตโดยเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของสวนสัตว์บรองซ์ซึ่งมีลูกสิงโตและลูกเสือโคร่งเติบโตมาด้วยกันและประลองกำลังกันเป็นบางครั้ง พบว่าเสือโคร่งมีชั้นเชิงการต่อสู้เหนือกว่าและเป็นฝ่ายชนะทุกครั้ง
แม้รูปร่างของสิงโตมีสัดส่วนใกล้เคียงเสือโคร่งมาก แต่แขนขาที่ล่ำสันที่เหมาะสำหรับต่อสู้อาจเป็นอุปสรรคสำหรับการทำความเร็ว สิงโตวิ่งได้เร็วที่สุดประมาณ 48-59 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กระโดดข้ามรั้วที่สูงถึง 2-3 เมตรได้
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสิงโตก็คือ เสียงคำราม สิงโตคำรามได้ยินไปไกลถึง 5 กิโลเมตรสำหรับหูคน แต่สำหรับสิงโตด้วยกันย่อมได้ยินเสียงคำรามได้จากระยะไกลกว่านั้น เสียงคำรามแต่ละตัวก็มีเสียงเฉพาะตัวด้วย สิงโตคำรามได้ทั้งตัวผู้และตัวเมีย แต่เสียงคำรามของตัวผู้จะลึกกว่าและดังกว่า สิงโตคำรามบ่อยที่สุดช่วงเช้ามืด หัวค่ำ และกลางดึก นอกพื้นที่คุ้มครอง ซึ่งสิงโตมักถูกคุกคามและสัตว์กีบซึ่งเป็นเหยื่อหลักมีน้อย ฝูงสิงโตมักมีขนาดเล็กลงมาก และไม่ค่อยคำราม
นอกจากเสียงคำรามแล้ว สิงโตยังเปล่งเสียงแบบอื่นได้อีกหลายแบบ เช่น เสียงครึ่ดแบบหมู เสียงฉู่ฉี่ เสียงกรืด ๆ ในลำคอ หรือแม้แต่เสียงเมี้ยว
สถานภาพ
ปัจจุบันคาดว่ามีสิงโตในทวีปแอฟริกาเหลืออยู่ประมาณ 30,000 ถึง 100,000 ตัว ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในแอฟริกาตอนใต้และตะวันออก สิงโตในแอฟริกาตะวันตกเหลืออยู่น้อยและลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งทวีป สิงโตที่อยู่นอกเขตคุ้มครองลดจำนวนลงเรื่อย ๆ
ประเทศที่ยังมีสิงโตอยู่ทั่วไปได้แก่ บอตสวานา สาธารณรัฐแอฟริกากลาง เอธิโอเปีย เคนยา แทนซาเนีย ซาอีร์ และแซมเบีย สถานภาพในแองโกลา โมซับบิก ซูดาน และโซมาเลียยังไม่ทราบแน่ชัดเนื่องจากความไม่สงบในประเทศ คาดว่าในแองโกลายังมีสิงโตอยู่ทั่วไปแต่จำนวนน้อย ส่วนในโซมาเลียมีเป็นบางส่วนโดยเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศ
ในนามิเบีย ประชากรสิงโตในอุทยานแห่งชาติอีโตชามีประมาณ 300 ตัว บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ 130-200 คาปรีวี 40-60 ตัว บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือ 35-40 ตัว
ในซิมบับเว อุทยานแห่งชาติฮวางเก 500 ตัว อุทยานแห่งชาติโกนารีเซา 200 ตัว หุบเขาแซมบีซีและเซบังเวคอมเพล็กซ์ 300 ตัว
ในประเทศเบนิน บูร์กินาฟาโซ แคเมอรูนตอนเหนือ ประเทศชาดตอนใต้ คองโกตอนใต้ ไอวอรีโคสต์ตอนเหนือ กานาตอนเหนือ กีนีตอนเหนือ กีนีบิสเชาตะวันออก มาลีตอนใต้ ไนจีเรียตอนเหนือ และอูกันดา คาดว่ามีสิงโตอยู่กระจัดกระจายและจำนวนน้อย ในประเทศบุรุนดี มลาวี ไนเจอร์ รวันดา เซเนกัล และแอฟริกาใต้ ประชากรส่วนใหญ่จำกัดอยู่ในป่าอนุรักษ์
ประเทศที่คาดว่าสิงโตสูญพันธุ์ไปแล้วหรือถือได้ว่าสูญพันธุ์ไปแล้วได้แก่ ประเทศจิบูตี กาบอง เลโซโท มอริเตเนีย สวาซิแลนด์ และโตโก
ความหนาแน่นของประชากรสิงโต (นับเฉพาะสิงโตตัวเต็มวัยและวัยรุ่นต่อ 100 ตารางกิโลเมตร) ต่างกันในแต่ละพื้นที่ ในพื้นที่ซาวูตี ในอุทยานแห่งชาติโชเบ ของบอตสวานามีความหนาแน่นต่ำประมาณ 0.17 ส่วนในอุทยานแห่งชาติคาราฮารีเกมสบ็อก อุทยานแห่งชาติอีโตชา มีประมาณ 1.5-2 ตัวต่อ 100 ตารางกิโลเมตร ในพื้นที่คุ้มครองของทางแอฟริกาตะวันออกและตอนใต้มีประมาณ 3-18 ตัว พื้นที่ ๆ ความหนาแน่นสูงที่สุดคือในป่าสงวนแห่งชาติมาไซมาราของเคนยา มีประชากร 30 ตัวต่อ 100 ตารางกิโลเมตร ความหนาแน่นของสิงโตมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจำนวนของเหยื่อ พื้นที่หากินเฉลี่ย 26 ถึง 226 ตารางกิโลเมตรต่อฝูง เคยพบฝูงหนึ่งในอุทยานแห่งชาติอิโตชาที่มีพื้นที่หากินกว้างถึง 2,075 ตารางกิโลเมตร
สถานภาพของสิงโตเอเชียทุกพันธุ์อยู่ในระดับอันตราย ไซเตสจัดเอาไว้ในบัญชีที่ 1 ส่วนสิงโตแอฟริกาอยู่ในบัญชีหมายเลข 2 ส่วนสิงโตพันธุ์บาร์บารีและสิงโตเคปได้สูญพันธุ์ไปแล้ว
ประเทศที่ห้ามล่า
แองโกลา แคเมอรูน คองโก กาบอง กานา มาลาวี มอริเตเนีย ไนเจอร์ ไนจีเรีย รวันดา
ประเทศที่ควบคุมการล่า (อนุญาตให้ล่าเฉพาะตัวที่ก่อปัญหา)
เบนิน บอตสวานา บูร์กินาฟาโซ สาธารณรัฐแอฟริกากลาง เอธิโอเปีย ไอวอรีโคสต์ เคนยา มาลี โมแซมบิก เซเนกัล โซมาเลีย ซูดาน แทนซาเนีย โตโก อูกันดา ซาอีร์ แซมเบีย ซิมบับเว
ประเทศที่มีการล่าเพื่อการกีฬา
บอตสวานา นามิเบีย แอฟริกาใต้ แทนซาเนีย แซมเบีย ซิมบับเว
ไม่มีการคุ้มครอง
บุรุนดี กีนีบิสเชา เลโซโท นามิเบีย สวาซิแลนด์ แอฟริกาใต้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)